วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่5 การทำกิฟท์

ข้อความ : GIFT กิฟท์ (GIFT, Gamete intrafallopian transfer) คือวิธีการที่ใส่เชื้ออสุจิ (ที่เตรียมแล้ว) และไข่ (sperm and egg)เข้าไปในท่อนำไข่ของฝ่ายหญิง 1 หรือ 2 ข้าง ทั่วๆไปจะใส่ไข่ 2 ฟองร่วมกับตัวเชื้ออสุจิ 5 หมื่นถึง 1 แสนตัวต่อท่อ 1 ข้าง (รวมแล้วใช้ไข่ 4 ฟอง) ข้อบ่งชี้ 1. ภาวะมีบุตรยากที่ไม่ทราบสาเหตุ 2. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญนอกโพรงมดลูก 3. เชื้ออสุจิอ่อนแต่ไม่มาก 4. หลังจากไม่สำเร็จจากการผสมเทียมโดยใช้เชื้อชายอื่น ขั้นตอน 1. การกระตุ้นไข่ให้ได้ไข่หลายๆฟอง ในรอบธรรมชาติจะมีไข่เพียง 1 ฟองต่อเดือน แต่ในรอบที่จะใช้วิธีช่วยการเจริญพันธุ์ เช่น กิฟท์ เราจะกระตุ้นรังไข่หลายๆฟองเพื่อเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ ซึ่งมีหลายวิธีแต่วิธีการที่ใช้บ่อยคือ 1.1 วิธีที่ใช้ระยะเวลายาว (long protocol) โดยการให้ฮอร์โมนตัวหนึ่ง (GnRHa, gonadotropin releasing hormone agonists) อาจโดยการพ่นยาเข้าโพรงจมูกหรือฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง ประมาณ 7-10วันก่อนที่จะมีประจำเดือนให้ไป จนกระทั่งตรวจพบว่าระดับฮอร์โมนเอสตราไดออล (estradiol) มีระดับน้อยกว่า 30-35 พิโคกรัมต่อซี.ซี จึงเริ่มต้นยาฉีดเพื่อกระตุ้นรังไข่ ยาที่ใช้คือ hMG (human menopausal gonadotropin) หรือ FSH(follicle stimulating hormone) ซึ่งมีชื่อทางการค้าแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะให้ยาฉีดทุกวัน ติดตามผลการกระตุ้นรังไข่โดยการดูขนาดของถุงไข่(follicle) ด้วยเครื่องคลื่นเสียงความถี่สูง อาจใช้ร่วมกับการตรวจเลือดเพื่อดูระดับ เอสตราไดออลซึ่งระดับจะสูงสัมพันธ์กับขนาด และจำนวนของถุงไข่ ให้ยาจนกระทั่งมีถุงไข่ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 18-20 มม.(จากการวัดโดยคลื่นเสียงความถี่สูง) จำนวนอย่างน้อย 2-3 ถุง จึงให้ฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่ง (hCG, human chorionic gonadotropin) ขนาด 5,000-10,000 ยูนิต ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ และจะทำการเจาะเก็บไข่ (ovum pick up) หลังจากยาฉีดประมาณ 34-36 ชั่วโมง 1.2 วิธีที่ใช้ระยะเวลาสั้น (short protocol) โดยการให้ฮอร์โมน GnRHa ) โดยการพ่นยาเข้าโพรงจมูกหรือฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง โดยเริ่มยาวันที่ 2-3 หลังจากที่มีประจำเดือนและให้ยาฉีดเพื่อกระตุ้นรังไข่ 1 วันหลังจากได้ฮอร์โมน GnRHa หลังจากนั้นขั้นตอนจะเหมือนกับวิธีที่ 1.1 2. การเจาะเก็บไข่ (ovum pick up) โดยทั่วๆไปจะใช้การเจาะผ่านทางช่องคลอดโดยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงช่วย ส่วนน้อยจะเจาะผ่านผนังหน้าท้อง หรือผ่านทางกล้องส่องผ่านทางผนังหน้าท้อง จะกระทำภายใต้การให้ยาสลบ เพื่อไม่ให้เจ็บปวดหรืออาจให้เพียงยาระงับปวดร่วมกับยากล่อมประสาทก็ได้ 3. การเตรียมน้ำอสุจิ จะเตรียมน้ำอสุจิโดยการให้ฝ่ายชายเก็บอสุจิโดยการช่วยตัวเอง (masturbation) และนำน้ำอสุจิที่ได้ไป เตรียมทางห้องปฏิบัติการ 4. การใส่อสุจิร่วมกับไข่เข้าไปในท่อนำไข่ของฝ่ายหญิง โดยทั่วๆไปจะกระทำผ่านทางกล้องส่องเจาะผ่านผนังหน้าท้อง (ส่วนน้อยจะทำผ่านโพรงมดลูกและผ่านสายเข้าท่อนำไข่โดยใช้กล้องส่องภายในโพรงมดลูกหรือใช้คลื่นเสียงความถี่สูงช่วย) ส่วนใหญ่จะกระทำภายใต้การให้ยาสลบเพื่อไม่ให้เจ็บปวด 5. หลังใส่เชื้ออสุจิและไข่เข้าทางท่อนำไข่เรียบร้อยแล้วจะแนะนำให้นอนพักผ่อน แต่ไม่ถึงขนาดต้องนอนนิ่งๆบนเตียงตลอดเวลา อาจทำงานได้บ้างเบาๆ จะมีการให้ยารับประทานหรือยาฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือให้ยาทั้งสองชนิดร่วมกัน (ยารับประทานอาจให้เหน็บช่องคลอดได้) แล้วแต่แพทย์แนะนำ 6. ประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากทำกิฟท์ จะนัดมาเจาะเลือดเพื่อดูว่าตั้งครรภ์หรือไม่ โอกาสตั้งครรภ์ ประมาณ ร้อยละ 30-40 และที่สำคัญเสียเงินเยอะพอสมควรนะ จาก : wolfen GTW - 11/11/2001 12:08
ข้อความ : ) ในการทำกิ๊ฟนั้น มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น ฝ่ายหญิงต้องมีท่อนำไข่ที่ดีอย่างน้อยหนึ่งข้าง และในการที่จะนำไข่และอสุจิไปไว้ที่ท่อนำไข่นั้น มักจะต้องผ่าตัดทางหน้าท้อง แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการหลีกเลี่ยงการผ่าตัดทางหน้าท้อง โดยการสอดผ่านทางปากมดลูกแทน แต่ก็ยังได้ผลไม่แน่นอน เนื่องจากท่อนำไข่มีขนาดเล็กมาก ในกรณีที่มีพังผืดในอุ้งเชิงกรานมาก การจับท่อนำไข่จะกระทำได้ลำบาก หรืออาจไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้หากไม่ตั้งครรภ์ภายหลังการทำกิ๊ฟ จะไม่สามารถทราบได้ว่า ไข่และอสุจิมีการผสมกันหรือไม่ ข้อดีของการทำกิ๊ฟ คือไม่ต้องอาศัยห้องปฏิบัติการ ที่จะทำการปฏิสนธิและเลี้ยงตัวอ่อน เช่นเดียวกับการทำเด็กหลอดแก้วซึ่งต้องมีอุปกรณ์ต่างๆ ตลอดจนนักวิทยาศาสตร์เพิ่มเติมกว่าการทำกิ๊ฟมาก เทคโนโลยีการเจริญพันธุ์อื่นๆ ที่มีการทำกันพอสมควร คือ การนำตัวอ่อนไปใส่ไว้ในท่อนำไข่ แทนที่จะใส่ไว้โพรงมดลูก ทั้งนี้เนื่องจากตามธรรมชาติ ตัวอ่อนจะเจริญเติบโตที่ท่อนำไข่เป็นระยะเวลาหนึ่งก่อน จึงจะเดินทางมาฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูก อย่างไรก็ดี เทคนิคนี้ฝ่ายหญิงก็ต้องมีท่อนำไข่ที่ดี และอาจมีความยุ่งยากในการหาท่อนำไข่ ตลอดจนการนำตัวอ่อนไปใส่ที่ท่อนำไข่ในบางราย เช่นเดียวกับการทำกิ๊ฟ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น